ส่วนของด้านหน้า ของขุนแผน พิมพ์ แขนอ่อนกรุวัดบ้านกลิ้ง
***...ตามตำราการสร้างพระขุนแผนเคลือบ สมัยโบราณกาล การเคลือบนํ้ายาสีเขียว นั้นหมายถึง วรรณะ ของผู้ทรงศีล...
พระขุนแผนเลือบ พิมพ์ แขนอ่อน ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่งดงามด้วย พุทธศิลป์ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเส้นสายรายละเอียดของแม่พิมพ์ ซึ่งต้องอาศัยการแกะบล็อกด้วยมือ บรรจงวิจิตรด้วยใจ อย่าลืมนะครับว่า คนที่จะแกะบล็อกพระเครื่องได้สวยขนาดนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ช่างฝีมือจากวังหลวงแล้วล่ะก็ ไม่มีทางแกะบล็อกได้สวยงามขนาดนี้เป็นแน่
เพราะว่าในสมัยก่อนคนจะทำพระเครื่องแต่ละอย่าง ต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ หลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพิมพ์ทรง เรื่องการผสมว่าน เรื่องการใช้ผงพุทธคุณแต่ละอย่าง และฤกษ์ยามที่เมาะสมกับพิธีกรรมนั้นๆ ว่าควรจะปลุกเสกในช่วงเวลาใด ฉะนั้นการสร้างพระเครื่องของคนสมัยโบราณจึงทำได้ถูกต้องแม่นยำ ตามตำราทุกประการ และเจตนาการสร้างก็ดีเยี่ยม จึงทำให้พระเครื่องที่ทำออกมาแต่ละกรุ มีพุทธานุภาพ เข็มขลัง
อย่างที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นที่เสาะแสวงหาของนัก นิยมพระเครื่อง ทุกยุคทุกสมัย อย่างที่ว่านั่นแหละครับ คนโบราณสมัยก่อน ยังมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เชื่อฟังตามคำสอนของพระศาสนา เกรงกลัวต่อบาปบุญ เป็นหลัก เวลาจะทำอะไรก็ทำด้วยความเคารพ
บทวิเคราะห์ สำหรับแผ่นทองเปลวในองค์ พระขุนแผนเคลือบ พิมพ์แขนอ่อน ถ้าสังเกตุให้ดีจะเป็นแผ่นทองโบราณ และจะมีขนาดใหญ่กว่าแผ่นทองเปลวในสมัยทุกวันนี้มากครับ ด้วยเหตุผลอะไรก็ลองพิจารณาดูก็แล้วกันว่าใหญ่ขนาดไหน และสีของทองเปลวก็จะเป็นสีเหลืองนวลๆ สวยงาม
คราบกรุที่ติดมาก็เป็นคราบธรรมชาติ แบบนี้ไม่ได้มีการเสริมเติมแต่งแต่ประการใด เพราะผมกลัวว่า คนรุ่นหลังจะไม่เข้าใจในลักษณะของคราบกรุที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ผมจะนำมาลงให้ชมกันหลายๆองค์ เพื่อเป็นวิทยาทาน ถือว่า เราได้นำเรื่องจริงมาเปิดเผยแก่ สาธารณะชน ให้ผู้ที่พอมีความรู้ได้พิจารณาดูตามภูมิความรู้ก็แล้วกันนะครับ
ให้วิเคราะห์ดูด้านหลังนะครับ ว่าลักษณะอย่างนี้ เกิดจากอะไร แต่ส่วนตัวผมเองคิดว่า น่าจะเกิดจากการดันตัวของอ๊อกซิเจน ถ้าใครเคยสังเกตุเห็นโคลนตมตามหนองนํ้าต่างๆ เวลาอากาศมันดันตัวออกมาก็จะมีลักษณะแบบนี้เลย หรือถ้าอยากจะรู้จริงๆ ให้ลองไปศึกษาจากบริเวณที่มีควายนอนโคลนอยู่จะสังเกตุได้ง่ายมาก เพราะบริเวณโคลนที่ควายนอนอยู่นั้น โคลนจะมีลักษณะที่ละเอียดมาก เวลาอ๊อกซิเจนมันดันตัวออกมาจากโคลน จะมีลักษณะ คล้ายๆ กับภาพด้านหลังของพระขุนแผนเคลือบเขียวองค์นี้เลย
บางทีผมนึกจินตนาการไปถึงดาวอังคารโน้น เพราะว่าการศึกษาพระเครื่องต้องใช้จินตนาการถึงความเป็นไปได้ของธรรมชาตินั้นๆด้วย เพราะของเก๊ ยังทำไม่ได้เพราะยังไม่เข้าใจ ในระบบของธรรมชาติที่แท้จริง นี่แหละที่คนเล่นพระยุคก่อนบอกว่า ต้องเข้าใจธรรมชาติของพระแต่ละกรุ แล้วเราก็จะเข้าใจ ในธรรมชาติของพระแท้นั่นเอง นี่ก็เป็นสัจธรรมของการศึกษาพระเครื่องอีกวิธีหนึ่ง
เมื่อก่อนผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่ในหนังสือได้อธิบายไว้ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีทดลองว่า เป็นพระกรุจริงไหม วิธีการก็คือ ให้นำพระที่แตกออกมาจากกรุใหม่ๆ ให้ทดลองนำพระกรุนั้นลงไปแช่ในแก้วนํ้าที่สะอาด และให้สังเกตุการณ์ดูชั่วครู่หนึ่ง จะปรากฏว่ามีฟองนํ้าผุดขึ้นมาถี่ยิบ เหมือนฟองเบียร์บ้าง เหมือนฟองโซดาบ้าง เหมือนฟองนํ้าอัดลมบ้าง
ผมก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า แล้วผมจะหาพระกรุที่แตกขึ้นมาใหม่ได้จากที่ไหน ผมได้อ่านหนังสือเล่มนั้นมาก็หลายปีแล้วแต่ก็ยังสงสัยในการบอกกล่าวของนังสือเล่มนั้นอยู่ สุดท้ายด้วยความเป็นคนชอบอ่าน และชอบสงสัย พอผมได้พระขุนแผนเคลือบกรุวัดบ้านกลิ้งมา แทนที่ผมจะวิ่งไปหาเซียนหรือผู้รู้
เรื่องพระขุนแผน ผมไม่ไปครับ เพราะผมซื้อมาแพงมาก สิ่งที่ผมเชื่อในตัวผมเองคือความรู้และความสงสัย สุดท้ายผมหยิบแก้วสะอาดมาหนึ่งใบ พร้อมกับนํ้าสะอาคมาหนึ่งขวด และอุปกรณ์อื่นๆอีกที่พอจะช่วยทำความสะอาดได้ ใจของผมสั่นระทึกและจดจ่อในสิ่งที่ผมได้เล่าเรียนมาว่า จะมีผลปรากฏเหมือนดั่งตำราว่าเอาไว้หรือไม่ พอผมจุ่มพระขุนแผนเคลือบ พิมพ์แขนอ่อน หน้าตั๊กแตน ลงแก้วเป็นองค์แรก ผลปรากฏว่า โอ้!!! สิ่งที่ผมได้ศึกษารํ่าเรียนมาไม่สูญเปล่าจริงๆ ครับ
มีฟองนํ้าพุ่งขึ้นมาจากองค์พระถี่ยิบเลย จนทำให้ผมตกใจมาก ในความรู้สึกของผมตอนนั้นผมคิดได้อย่างเดียวเลยว่า เราต้องรีบเอาพระออกจากแก้วนํ้าเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นพระคงแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆแน่ พอผมได้รีบหยิบพระออกมาจากแก้วนํ้า ผมก็เอากล้องส่องพระมาส่องดูความเสียหาย แต่ผลปรากฏว่าทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมได้เรียนรู้คำว่า " สัจจะ ที่แปลว่าความจริง" ในการทดลองค้นคว้าจากตำราและจากประสบการณ์ของตัวเอง ทีนี้เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ต่อให้เซียนไหนมาสวดพระของเราว่าเก๊ เราก็ไม่ได้ตำหนิเขาเลย เพราะการเรียนรู้ของคนไม่เท่ากันจริงๆ
สุดท้ายนี้ขอให้คนที่เข้ามาอ่านในบทความนี้ได้นำวิธีคิด วิธีค้นคว้าเพื่อให้ตัวเองรู้แจ้งรู้จริงด้วยนะครับ ขอให้โชคดีทุกๆคน สวัสดีครับ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น