วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

Small, Buddha, Image.พระขุนแผนเคลือบ ""สีเขียว"" ตามตำราโบราณ..>>> พิมพ์แขนอ่อน

                                            

        ***...พระขุนแผนเคลือบ สีเขียว พิมพ์แขนอ่อน ตามตำราโบราณ...แตกกรุที่วัดบ้านกลิ้ง จ. อยุธยา...



ส่วนของด้านหน้า ของขุนแผน พิมพ์ แขนอ่อนกรุวัดบ้านกลิ้ง

***...ตามตำราการสร้างพระขุนแผนเคลือบ  สมัยโบราณกาล  การเคลือบนํ้ายาสีเขียว นั้นหมายถึง วรรณะ ของผู้ทรงศีล...


พระขุนแผนเลือบ พิมพ์  แขนอ่อน  ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่งดงามด้วย พุทธศิลป์  ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเส้นสายรายละเอียดของแม่พิมพ์  ซึ่งต้องอาศัยการแกะบล็อกด้วยมือ บรรจงวิจิตรด้วยใจ  อย่าลืมนะครับว่า คนที่จะแกะบล็อกพระเครื่องได้สวยขนาดนี้ได้  ถ้าไม่ใช่ช่างฝีมือจากวังหลวงแล้วล่ะก็  ไม่มีทางแกะบล็อกได้สวยงามขนาดนี้เป็นแน่
เพราะว่าในสมัยก่อนคนจะทำพระเครื่องแต่ละอย่าง  ต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ หลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพิมพ์ทรง เรื่องการผสมว่าน  เรื่องการใช้ผงพุทธคุณแต่ละอย่าง  และฤกษ์ยามที่เมาะสมกับพิธีกรรมนั้นๆ ว่าควรจะปลุกเสกในช่วงเวลาใด  ฉะนั้นการสร้างพระเครื่องของคนสมัยโบราณจึงทำได้ถูกต้องแม่นยำ ตามตำราทุกประการ และเจตนาการสร้างก็ดีเยี่ยม  จึงทำให้พระเครื่องที่ทำออกมาแต่ละกรุ  มีพุทธานุภาพ เข็มขลัง
อย่างที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นที่เสาะแสวงหาของนัก  นิยมพระเครื่อง  ทุกยุคทุกสมัย  อย่างที่ว่านั่นแหละครับ  คนโบราณสมัยก่อน  ยังมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เชื่อฟังตามคำสอนของพระศาสนา  เกรงกลัวต่อบาปบุญ เป็นหลัก  เวลาจะทำอะไรก็ทำด้วยความเคารพ 
บทวิเคราะห์  สำหรับแผ่นทองเปลวในองค์  พระขุนแผนเคลือบ  พิมพ์แขนอ่อน  ถ้าสังเกตุให้ดีจะเป็นแผ่นทองโบราณ และจะมีขนาดใหญ่กว่าแผ่นทองเปลวในสมัยทุกวันนี้มากครับ  ด้วยเหตุผลอะไรก็ลองพิจารณาดูก็แล้วกันว่าใหญ่ขนาดไหน และสีของทองเปลวก็จะเป็นสีเหลืองนวลๆ สวยงาม
คราบกรุที่ติดมาก็เป็นคราบธรรมชาติ  แบบนี้ไม่ได้มีการเสริมเติมแต่งแต่ประการใด  เพราะผมกลัวว่า  คนรุ่นหลังจะไม่เข้าใจในลักษณะของคราบกรุที่แท้จริงเป็นอย่างไร  แต่ผมจะนำมาลงให้ชมกันหลายๆองค์ เพื่อเป็นวิทยาทาน ถือว่า  เราได้นำเรื่องจริงมาเปิดเผยแก่  สาธารณะชน  ให้ผู้ที่พอมีความรู้ได้พิจารณาดูตามภูมิความรู้ก็แล้วกันนะครับ  





 

ให้วิเคราะห์ดูด้านหลังนะครับ  ว่าลักษณะอย่างนี้  เกิดจากอะไร  แต่ส่วนตัวผมเองคิดว่า น่าจะเกิดจากการดันตัวของอ๊อกซิเจน  ถ้าใครเคยสังเกตุเห็นโคลนตมตามหนองนํ้าต่างๆ   เวลาอากาศมันดันตัวออกมาก็จะมีลักษณะแบบนี้เลย  หรือถ้าอยากจะรู้จริงๆ  ให้ลองไปศึกษาจากบริเวณที่มีควายนอนโคลนอยู่จะสังเกตุได้ง่ายมาก  เพราะบริเวณโคลนที่ควายนอนอยู่นั้น  โคลนจะมีลักษณะที่ละเอียดมาก  เวลาอ๊อกซิเจนมันดันตัวออกมาจากโคลน  จะมีลักษณะ   คล้ายๆ กับภาพด้านหลังของพระขุนแผนเคลือบเขียวองค์นี้เลย

บางทีผมนึกจินตนาการไปถึงดาวอังคารโน้น  เพราะว่าการศึกษาพระเครื่องต้องใช้จินตนาการถึงความเป็นไปได้ของธรรมชาตินั้นๆด้วย  เพราะของเก๊  ยังทำไม่ได้เพราะยังไม่เข้าใจ  ในระบบของธรรมชาติที่แท้จริง  นี่แหละที่คนเล่นพระยุคก่อนบอกว่า  ต้องเข้าใจธรรมชาติของพระแต่ละกรุ  แล้วเราก็จะเข้าใจ  ในธรรมชาติของพระแท้นั่นเอง  นี่ก็เป็นสัจธรรมของการศึกษาพระเครื่องอีกวิธีหนึ่ง

เมื่อก่อนผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง  แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้  แต่ในหนังสือได้อธิบายไว้ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีทดลองว่า  เป็นพระกรุจริงไหม  วิธีการก็คือ  ให้นำพระที่แตกออกมาจากกรุใหม่ๆ  ให้ทดลองนำพระกรุนั้นลงไปแช่ในแก้วนํ้าที่สะอาด  และให้สังเกตุการณ์ดูชั่วครู่หนึ่ง  จะปรากฏว่ามีฟองนํ้าผุดขึ้นมาถี่ยิบ  เหมือนฟองเบียร์บ้าง  เหมือนฟองโซดาบ้าง  เหมือนฟองนํ้าอัดลมบ้าง

ผมก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า  แล้วผมจะหาพระกรุที่แตกขึ้นมาใหม่ได้จากที่ไหน   ผมได้อ่านหนังสือเล่มนั้นมาก็หลายปีแล้วแต่ก็ยังสงสัยในการบอกกล่าวของนังสือเล่มนั้นอยู่  สุดท้ายด้วยความเป็นคนชอบอ่าน และชอบสงสัย  พอผมได้พระขุนแผนเคลือบกรุวัดบ้านกลิ้งมา  แทนที่ผมจะวิ่งไปหาเซียนหรือผู้รู้ 

เรื่องพระขุนแผน  ผมไม่ไปครับ   เพราะผมซื้อมาแพงมาก   สิ่งที่ผมเชื่อในตัวผมเองคือความรู้และความสงสัย  สุดท้ายผมหยิบแก้วสะอาดมาหนึ่งใบ  พร้อมกับนํ้าสะอาคมาหนึ่งขวด  และอุปกรณ์อื่นๆอีกที่พอจะช่วยทำความสะอาดได้  ใจของผมสั่นระทึกและจดจ่อในสิ่งที่ผมได้เล่าเรียนมาว่า   จะมีผลปรากฏเหมือนดั่งตำราว่าเอาไว้หรือไม่  พอผมจุ่มพระขุนแผนเคลือบ พิมพ์แขนอ่อน หน้าตั๊กแตน  ลงแก้วเป็นองค์แรก ผลปรากฏว่า  โอ้!!!   สิ่งที่ผมได้ศึกษารํ่าเรียนมาไม่สูญเปล่าจริงๆ ครับ

มีฟองนํ้าพุ่งขึ้นมาจากองค์พระถี่ยิบเลย  จนทำให้ผมตกใจมาก   ในความรู้สึกของผมตอนนั้นผมคิดได้อย่างเดียวเลยว่า  เราต้องรีบเอาพระออกจากแก้วนํ้าเดี๋ยวนี้  มิฉะนั้นพระคงแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆแน่  พอผมได้รีบหยิบพระออกมาจากแก้วนํ้า  ผมก็เอากล้องส่องพระมาส่องดูความเสียหาย  แต่ผลปรากฏว่าทุกอย่างเป็นปกติ  ไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมได้เรียนรู้คำว่า  "  สัจจะ ที่แปลว่าความจริง"   ในการทดลองค้นคว้าจากตำราและจากประสบการณ์ของตัวเอง  ทีนี้เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว  ต่อให้เซียนไหนมาสวดพระของเราว่าเก๊  เราก็ไม่ได้ตำหนิเขาเลย  เพราะการเรียนรู้ของคนไม่เท่ากันจริงๆ



สุดท้ายนี้ขอให้คนที่เข้ามาอ่านในบทความนี้ได้นำวิธีคิด  วิธีค้นคว้าเพื่อให้ตัวเองรู้แจ้งรู้จริงด้วยนะครับ ขอให้โชคดีทุกๆคน  สวัสดีครับ   




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น